#ตรวจ สุขภาพ
อ่านผลตรวจเลือดด้วยตนเอง
โดย นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
วันนี้ ผมจะรวบยอดสอนการแปลผลการตรวจเค มีในเลือดให้ฟัง ท่านที่ถามมาคล้ายกันแต่ว่ าผมไม่ได้ตอบก็ขอให้เอาวิธี แปลผลที่คุยกันวันนี้ ไปแปลผลการตรวจของท่านเอาเองก็ แล้วกัน
1. Blood chemistry แปลตรงๆว่าเคมีของเลือด หมายถึงระดับของสารต่างๆที่อยู่ ในเลือดซึ่งก่อปฏิกิริยาเคมีได้ ซึ่งการเพิ่มขึ้นหรื อลดลงของสารเหล่านี้ บ่งบอกไปถึงว่าจะมีโรคอะไรเกิ ดขึ้นในร่างกายบ้าง
2. FBS = ย่อมาจาก fasting blood sugar แปลว่าระดับน้ำตาลในเลือดหลั งการอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เป็ นการตรวจสถานะของโรคเบาหวานโดยต รง คือคนปกติค่านี้จะต่ำกว่า 100 mg/dL ถ้าของใครสูงเกิน 125 ก็ถือว่าเป็นเบาหวานแล้วอย่ างบริบูรณ์
3. HbA1C = ย่อมาจาก hemoglobin A1C แปลว่าระน้ำตาลสะสมเฉลี่ยสามเดื อนในเม็ดเลือดแดง มีความหมายคล้ายๆกับค่า FBS คือโดยคำนิยาม ถ้าน้ำตาลสะสมเฉลี่ยของของใครสู งกว่า 6.5% ก็ถือว่าเป็นโรคเบาหวานไปแล้ วอย่างบริบูรณ์ ค่า HbA1C นี้ดีกว่าค่า FBS ในสองประเด็น คือ
3.1 ทำให้เราตรวจคัดกรองเบาหวานได้ ทุกเมื่อ โดยไม่ต้องอดอาหารมาล่วงหน้า
3.2 การที่มันสะท้อนค่าน้ำตาลในเลื อดในช่วงเวลาสามเดือนย้อนหลัง จึงตัดปัญหาระดับน้ำตาลวู บวาบในช่วงหนึ่งวันก่อนการตรวจ คือคนไข้บางคนที่จะทำตัวดี เฉพาะสองสามวันก่อนไปหาหมอเพื่ อให้น้ำตาลในเลือดดูดี พอคล้อยหลังหมอตรวจเสร็จก็ ออกมาสั่งไอติมมากินเป็นกะละมั งให้หายอยาก คนไข้แบบนี้การตรวจ HbA1C จะทำให้ทราบสถานะที่แท้จริ งของเบาหวานดีกว่า
4. BUN = ย่อมาจาก blood urea nitrogen แปลว่าไนโตรเจนในรูปของยูเรีย ตัวยูเรียนี้เป็นเศษของเหลื อจากการเผาผลาญโปรตีนที่ตับ ซึ่งต้องถูกกำจัดทิ้งโดยไต การวัดระดับค่าของ BUN เป็นตัวบ่งบอกว่าเลื อดไหลไปกรองที่ไตมากพอหรือไม่ ในภาวะที่เลือดไหลไปกรองที่ไตน้ อยลง เช่นในภาวะร่างกายขาดน้ำ หรือสูญเสียเลือดไปทางอื่นเช่ นเลือดออกในทางเดินอาหาร หรือในภาวะช็อก ระดับของ BUN จะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่าปกติของ BUN คือ 8-24
5. Cr = เขียนเต็มว่า Creatinine แปลว่าเศษเหลือจากการสลายตั วของกล้ามเนื้อ คือกล้ามเนื้อของคนเรานี้มั นสลายตัวและสร้างใหม่อยู่ ตลอดเวลา คนมีกล้ามมากก็สลายตัวมากสร้ างมาก Cr ซึ่งเป็นเศษซากที่สลายตั วออกมาจะถูกไตขับทิ้งไป แต่ในกรณีที่ไตเสียการทำงาน เช่นเป็นโรคไตเรื้อรัง ไตจะขับ Cr ออกทิ้งไม่ทันกับที่กล้ามเนื้ อสลายออกมา ทำให้ระดับ Cr ในเลือดสูงผิดปกติ ค่าปกติของมันคือ 0.7-1.2 mg/dL
6. Uric acid ก็คือกรดยูริกที่เป็นต้นเหตุ ของโรคเก้าท์นั่นแหละ ค่าปกติของกรดยูริกในเลือดคือ 3.4-7.0
7. Triglyceride คือไขมันไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นไขมันก่อโรคชนิดหนึ่ งในร่างกายเรา ระดับที่สูงจนต้องใช้ยาคือเกิน 200 mg/dl
8. HDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าเอ็ช.ดี.แอล. เรียกอีกอย่างว่า “ไขมันดี” เพราะมันเป็นไขมันที่ดึงไขมันที่ พอกหลอดเลือดออกไปจากหลอดเลือด ดังนั้นยิ่งมีเอ็ช.ดี.แอล.มากก็ ยิ่งดี คนปกติควรมีเอ็ชดีแอล.เกิน 40 mg/dl ขึ้นไป
9. LDL-cholesterol เรียกสั้นๆว่าแอลดีแอล. หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไขมันเลว” เพราะมันเป็นตัวไขมันที่พอกอยู่ ที่ผนังหลอดเลือดและเป็นไขมันก่ อโรคโดยตรง การจะตัดสินว่าคนไข้คนไหนควรกิ นยาลดไขมันเมื่อไหร่ก็ตัดสินกั นจากระดับแอลดีแอล.นี่แหละ โดยเทียบกับความเสี่ยงในการเป็ นโรคที่แต่ละคนมีเป็นทุนอยู่แล้ ว กล่าวคือ
– ถ้ามีความเสี่ยงต่ำ จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 160
– ถ้ามีความเสี่ยงปานกลาง จะให้เริ่มทานยาลดไขมัน
เมื่อ LDL มากกว่า 130
– ถ้ามีความเสี่ยงสูง หรือเป็นโรคหัวใจ หรือเบาหวาน หรืออัมพาตแล้ว จะให้เริ่มทานยาลดไขมันเมื่อ LDL มากกว่า 100
10. Total Cholesterol หมายถึงโคเลสเตอรอลรวมในร่างกาย เป็นค่ารวมของไขมันสามอย่าง กล่าวคือ
โคเลสเตอรอลรวม = ไขมันดี (HDL) + ไขมันเลว (LDL) + หนึ่งในห้าของไขมันไตรกลี เซอไรด์ สมัยก่อนเราใช้ค่ าโคเลสเตอรอลรวมตัวนี้ตัวเดี ยวในการประเมินไขมันในเลือด จึงได้กำหนดค่าปกติไว้ว่าถ้าสู งเกิน 240 mg/dl จึงจะถือว่าสูงและเริ่มใช้ยา
แต่สมัยนี้เราไม่ค่อยจะดูค่ าโคเลสเตอรอลรวมกันเท่าไหร่แล้ว เราดูเจาะลึกลงไปถึงไขมันแต่ ละชนิด และตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ ยาจากระดับไขมันเลว (LDL) โดยไม่สนใจโคเลสเตอรอลรวมแล้ว เพราะค่านี้มักชักนำให้เข้าใจผิ ด ยกตัวอย่างเช่นถ้าดูค่ าโคเลสเตอรอลรวมได้ 214 ซึ่งก็แค่สูงเกินพอดีไปบ้างแต่ ไม่สูงถึงกับต้องใช้ยา แต่ว่าจริงๆแล้วเป็นความเข้ าใจผิด เพราะค่าโคเลสเตอรอลรวมดูต่ำอยู่ ได้เพราะมีไขมันดี (HDL) ต่ำกว่าปกติ เลยพลอยทำให้ค่ าโคเลสเตอรอลรวมต่ำไปด้วย ทั้งๆที่เป็นคนมีไขมันเลวอยู่ ในระดับสูงถึงขั้นต้องใช้ยาแล้ ว
11. AST(SGOT) = ย่อมาจาก aspartate transaminase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic oxaloacetic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ ในเซลของตับ ซึ่งจะไม่ออกมาในเลือด หากมีเอ็นไซม์ตัวนี้ออกมาในเลื อดมากก็แสดงว่าเซลตับกำลังได้รั บความเสียหาย เช่นอาจจะมีตับอักเสบจากการติ ดเชื้อหรือจากสารพิษ หรือแม้กระทั้งจากแอลกอฮอล์ และไขมันแทรกเนื้อตับ ค่าปกติของ AST คือไม่เกิน 40 IU/L
12. GTT = ย่อมาจาก gamma glytamyl transpeptidase เป็นเอ็นไซม์ในเซลตับและทางเดิ นน้ำดีเช่นเดียวกับ ALT มีความไวต่อความเสียหายของเซลตั บมากกว่า แต่ขาดความจำเพาะเจาะจง หมายความว่าเมื่อ GTT สูงจะเกิดจากอะไรก็ได้ที่ อาจจะไม่ใช่เรื่องของตับ เช่นอาจมีปัญหาที่ตับอ่อน ที่หัวใจ ที่ปอด หรือแม้กระทั่งเป็นเบาหวาน อ้วน หรือดื่มแอลกอฮอล์ ก็ทำให้ GTT สูงได้ สารตัวนี้จึงไม่มีประโยชน์ ในการคัดกรองโรคเลย
13. ALT (SGPT) = ย่อมาจาก alamine amintransferase หรือชื่อเก่าว่า serum glutamic pyruvic transaminase เป็นเอ็นไซม์ที่ปกติอยู่ ในเซลของตับเช่นเดียวกับ AST และจะออกมาในเลือดเมื่อเซลตั บได้รับความเสียหายเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มี เนื้องอกอุดตันทางเดินน้ำดี ค่าปกติของ ALT คือไม่เกิน 34 IU/L
14. Alkaline Phosphatase = เป็นเอ็นไซม์ที่อยู่ในเซลของตับ ทางเดินน้ำดี และของกระดูกเป็นส่วนใหญ่ ความหมายของเอ็นไซม์ตัวนี้หากมั นสูงขึ้นคืออาจจะมีปัญหาที่ ทางเดินน้ำดี ตับ หรือกระดูก ค่าปกติในผู้ชายผู้ใหญ่ไม่เกิน 128 U/L
15. HBs Ag = ย่อมาจาก hepatitis B surface antigen แปลว่าตัวไวรัสตับอักเสบบี.ซึ่ งตรวจจากโมเลกุลที่ผิวของมัน ถ้าตรวจได้ผลบวกก็แปลว่ามีเชื้ อไวรัสตับอักเสบบี.อยู่ในตัว หากตรวจได้ผลลบ ก็แปลว่าไม่มีเชื้อไวรัสตับอั กเสบบี
16. Anti HBs = ย่อมาจาก antibody to hepatitis B surface antigen แปลว่าภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอั กเสบบี. หากตรวจได้ผลบวกก็แปลว่าคุณมีภู มิคุ้มกันต่อไวรัสบี.แล้ว ไม่ต้องไปแสวงหาการฉีดวัคซีน
17. eGFR = เรียกสั้นๆว่า จีเอฟอาร์. ย่อมาจาก estimated glomerular filtration rate แปลว่าอัตราการไหลของเลือดผ่ านตัวกรองของไตในหนึ่งนาที ค่านี้ได้จากการคำนวณเอาจาก Cr กับอายุ และชาติพันธุ์ของเจ้าตัว ห้องแล็บที่ยังไม่ทันสมัยจะไม่ รายงานค่านี้ ถ้าเจ้าตัวอยากทราบค่านี้ต้ องเอาค่า Cr ที่ได้ไปอาศัย GFR calculator ตามเว็บในเน็ทคำนวณให้ ค่าจีเอฟอาร์.นี้มีประโยชน์ มากในแง่ที่ใช้แบ่งระดับความรุ นแรงของคนที่ Cr ผิดปกติอย่างคุณนี้ว่ามีความรุ นแรงเป็นโรคไตเรื้อรั งระยะไหนของ 5 ระยะ กล่าวคือ
ระยะที่ 1 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว แต่ไตยังทำงานปกติ (จีเอฟอาร์ 90 มล./นาที ขึ้นไป)
ระยะที่ 2 ตรวจพบพยาธิสภาพที่ไตแล้ว และไตเริ่มทำงานผิดปกติเล็กน้อย (จีเอฟอาร์ 60-89 มล./นาที)
ระยะที่ 3 ไตทำงานผิดปกติปานกลาง ไม่ว่าจะตรวจพบพยาธิสภาพที่ ไตหรือไม่ก็ตาม (จีเอฟอาร์ 30-59 มล./นาที)
ระยะที่ 4 ไตทำงานผิดปกติมาก (จีเอฟอาร์ 15-29 มล./นาที)
ระยะที่ 5. ระยะสุดท้าย (จีเอฟอาร์ต่ำกว่า 15 หรือต้องล้างไต)
น้ำมันรวม4ชนิด G dyna
ปราศจากสารเคมี เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย
ช่วยให้บำรุงร่างกายทั้งระบบให้ดีขึ้น เห็นผลภายใน 1-2 เดือน
เห็นผลทุกcase 100% ค่ะ
สนใจสอบถาม
Website : www.4sahai.com
คลิกเพิ่มเพื่อนไลน์อัตโนมัติ http://line.me/ti/p/~gdyna.com
โทร 087-041-0088, 089-896-1010